กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกแสนสวยตัวหนึ่ง มีขนสวยงามมาก
มีคนอยากได้ไว้ครอบครองเป็นจำนวนมากแต่ไม่เคยมีชาวบ้านคนไหน
จับนกตัวนั้นได้เลย อยู่มาวันหนึ่งมี อาบัง ขายถั่วมานั่งใต้ต้นไม้ที่มีนกแสนสวยอยู่
พอนกแสนสวยเห็นถั่วของอาบังก็เกิดอยากกินขึ้นมา
จึงร้องบอกอาบังว่า อาบัง อาบัง ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ
อาบังได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับไปว่า
ได้เลย ได้เลย แต่ขอขนให้ชั้นเส้นนึงนะ
พอนกได้ยินดังนั้น ก็ก้มลงมองที่ขนของตนเอง แล้วคิดว่า
ขนของตนเองนี่มีเยอะมาก เสียไปสักเส้นคงไม่เป็นไรหรอก
นกแสนสวยก็เลยให้ขนอาบังไปหนึ่งเส้น แล้วก็ลงไปกินถั่วของอาบัง
วันต่อมานกแสนสวยก็บอกกับอาบังอีกว่าขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ
อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่าขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน
นกแสนสวยก็คิดเหมือนเดิมว่าขนมันยังมีอยู่เยอะก็เลยให้ขนอาบังไปอีก
เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลายวัน จนวันหนึ่ง
นกแสนสวยก็ขอถั่วอาบังกินอีก
อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน
นกก็ไม่รีรอรีบให้ขนอาบังไปทันที แล้วลงมากินถั่วของอาบัง อาบังก็เลยจับนกตัวนั้นไว้ได้ เพราะว่าขนของมันเหลือน้อยแล้วไม่สามารถที่จะบินหนีอาบังได้ เรื่องนี้ถ้าอ่านผ่านไปอาจจะไม่ได้อะไรเลยนะครับ
แต่ถ้าเราลองคิดให้ดี เปลี่ยนจากนกแสนสวยเป็นตัวเรา
ขนของนกแต่ละเส้นคือเวลาของเราที่เสียไป
และอาบังเป็นนายจ้างของเราส่วนถั่วที่อาบังให้ก็เหมือนกับเงินเดือนที่นายจ้างให้เรานะครับ
หมายความว่า ทุกวันนี้ ถ้าเรายังประมาทในการใช้ชีวิตยังพอใจ
แค่เงินเดือนที่นายจ้างให้เราทุกเดือนนะครับ เวลาของเราก็จะค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ เวลาของเราไม่ได้มีมากมายหรอกครับแป๊บเดียว
เดี๋ยวมันก็หมดไปแล้ว ซึ่งเงินเดือนที่นายจ้างให้เราเนี่ยก็ให้แค่พอเราอยู่ได้ทุกเดือนเท่านั้นแหละครับ บางคนอาจจะคิดว่าการทำงานประจำเป็น
อาชีพที่มั่นคง แต่ผมว่าไม่นะครับ เพราะว่าการเป็นลูกจ้างเค้าเนี่ยเราไม่สามารถที่จะกำหนดวิถีชีวิตของตัวเองได้ เราถูกนายจ้างเรากำหนดให้ต่างหากว่าจะหยุดวันไหนวันนี้จะทำอะไร ผมไม่อยากให้ทุกคนยึดติดกับความคุ้นเคยกับความสบายเพียงแค่วันนี้แต่อยากจะให้มองให้ไกลๆ
มองถึงอนาคตของเราว่าเราจะหยุดทำงานเมื่อไหร่เราจะใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างไร อย่าเป็นเหมือนนกแสนสวยนะครับที่รู้ตัวก็ตอนที่ตัวเอง
ไม่มีขนอยู่ที่ตัวแล้ว